
ภายใต้แดดอันร้อนแรงในจังหวัดสระบุรีของประเทศไทย พื้นที่ทำเหมืองปูนซีเมนต์เต็มไปด้วยความคึกคัก รถบรรทุกขนาดใหญ่แล่นเข้าออก อย่างต่อเนื่อง และการปฏิวัติทางเทคโนโลยีกำลังเกิดขึ้นแล้วอย่างเงียบๆ…
รถบรรทุกไร้คนขับวิ่งอย่างแม่นยำ ขณะที่หน้าจอข้อมูลขนาดใหญ่ ในศูนย์ควบคุมระยะไกล ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานทั่วทั้งพื้นที่ แบบเรียลไทม์ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ฉากในภาพยนตร์ หรือภาพจำลองอนาคต แต่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ในปี 2024
ต้นปี 2023 ทีมงานจากจีน ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหนือจริง ในเหมืองแห่งนี้ของไทย พวกเขาไม่ได้มาเพื่อขุดแร่ แต่มาเพื่อภารกิจ “ย้ายภูเขา” ดั่งเรื่องเล่าของชายชราผู้โง่เขลา ในนิทานพื้นบ้านจีนอันโด่งดัง และ “ผู้ย้ายภูเขา” ในครั้งนี้คือ ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะด้านการทำเหมืองแบบขนานยูคอน (YUKON) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยสถาบันระบบอัตโนมัติ (Institute of Automation) และสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS)
หกองค์กร ผนึกกำลัง พัฒนามาตรฐานร่วมกัน ความร่วมมือครั้งนี้ เริ่มต้นจากความต้องการในการเปลี่ยนผ่านของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCG) กลุ่มอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของไทย ที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี เอสซีจีกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความเสี่ยง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ต่ำ จึงสนใจระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ ด้านการทำเหมืองแบบขนานยูคอน จากจีน โดยระบบนี้ ขับเคลื่อนด้วยโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (AI large models) สามารถคุมกระบวนการทำเหมืองที่สำคัญได้อัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ มอบโซลูชั่นที่ครบวงจรให้กับเอสซีจี ในการยกระดับการดำเนินงาน
เนื่องจากได้รับการสนับสนุน จาก สำนักงานนวัตกรรมและความร่วมมือ (กรุงเทพ) สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS Innovation Cooperation Center (Bangkok)) ในปี 2022 บริษัทเอสซีจี, สถาบันระบบอัตโนมัติ ,สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน, เวย์ทัส (WAYTOUS), เอไอเอส (AIS), หัวเหว่ย (Huawei) และ อวี่ทง (Yutong) จึงได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือองค์กร และกลายเป็นรากฐานสำคัญของโครงการนี้ ที่ไม่ใช่เพียงการส่งออกเครื่องจักร แต่คือการส่งออก “สมองอัจฉริยะ” ระบบโซลูชันครบวงจรเพื่อการทำเหมืองอัตโนมัติอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม การย้าย “สมองอัจฉริยะ” จากจีนมาติดตั้งในไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงเริ่มต้นโครงการ ทีมวิศวกรจีน และไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งในด้านวัฒนธรรม มาตรฐานการทำงาน และระบบเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ความล่าช้าในการสื่อสารของรถบรรทุกเหมือง เกินค่ามาตรฐาน ความยากในการปรับข้อมูล ฝึกสอนเอไอ ให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น และความขัดแย้งระหว่างกระบวนการทำงานกับตรรกะของอัลกอริธึม วิศวกรจากทั้งสองประเทศ จึงต้องจัดประชุมหารือหลายครั้ง ปรับแต่งค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ทำการจำลองสถานการณ์ และลงพื้นที่ทดสอบจริง ช่วยให้ระบบเอไอค่อยๆ ปรับจูนเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำเหมืองจริง ได้อย่างแม่นยำ ในที่สุด
ต้นปี 2024 รถบรรทุกเหมืองแร่ ไร้คนขับชุดแรก ได้เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ทำเหมือง อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเสร็จสิ้นโครงการเหมืองอัจฉริยะ ที่สร้างขึ้นร่วมกันระหว่างบุคลากรเทคโนโลยีจีน และทีมงานเอสซีจี โดยเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลากหลายครั้งแรก ในไทย อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ โมเดลขนาดใหญ่ และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
จิรพัฒน์ จันทร์เจริญสัก ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายต่างประเทศของเอสซีจี กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่การอัปเกรดอุปกรณ์ แต่เป็นสมองอัจฉริยะที่สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เทคโนโลยีเอไอของจีน ได้แสดงให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ ในการสร้างเหมืองที่ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ มีประสิทธิภาพสูง และลดการปล่อยก๊าซ
เหมืองชาญฉลาด ด้วยพลังของ “นักขุดเอไอ” และ “สมองที่อัจฉริยะที่สุด”
รถบรรทุกน้ำหนักหลายสิบตัน วิ่งเข้าออกเหมืองแร่ อย่างอย่างเป็นระเบียบ ทั้งกลางวัน และกลางคืน ขณะที่ผู้ควบคุมสามารถนั่งทำงานสบาย ๆ ในศูนย์ควบคุมที่เย็นฉ่ำ นี่คือ ภาพที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ที่เหมืองในจังหวัดสระบุรี ตั้แต่ระบบตรวจสอบพลังงานไปจนถึงเส้นทางขนส่ง ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะยูคอน ทำหน้าที่ประสานการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมด ในเหมือง อย่างเป็นระบบ เอไอจะตัดสินใจภายในเสี้ยววินาที โดยอ้างอิงจากข้อมูลเรียลไทม์ เพื่อปรับแต่งการทำงานของรถแต่ละคัน ให้เหมาะสมที่สุด และทำให้ทุกวินาทีเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าบริสุทธิ์ไร้คนขับของอวี่ทง ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเหมืองแบบขนานอัจฉริยะยูคอน ได้แปรสภาพเป็น “นักขุดเอไอ” ที่ทำงานได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รถเหล่านี้ นำทางได้อย่างแม่นยำ บรรทุกและขนถ่ายวัสดุอัตโนมัติ รวมถึงหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางได้ด้วยตนเอง
นวัตกรรมนี้ ได้พลิกโฉมข้อจำกัดของการปฏิบัติงาน แบบใช้แรงงานคน อย่างสิ้นเชิง รถแต่ละคันสามารถทำงานได้นานขึ้นอีก ประมาณ 2 ชั่วโมงต่อกะ ส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16 ขณะเดียวกัน จำนวนแรงงานภาคสนามก็ลดลงโดยตรงถึงร้อยละ 50 ช่วยให้เหมืองประหยัดต้นทุนแรงงานได้เกือบ 1 ล้านบาทต่อปี
ในด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ได้อย่างมากแล้ว อัลกอริธึมการขับขี่อัตโนมัติของเอไอ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการควบคุมเวลาสตาร์ตและหยุดรถ เส้นทางการวิ่ง และความเร็วในการเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมสิ้นเปลืองพลังงาน ที่มักเกิดจากการขับขี่ด้วยคน เช่น การเร่งเครื่องกระทันหัน หรือการจอดรอโดยไม่ดับเครื่อง ส่งผลให้การใช้พลังงานโดยรวมลดลงถึงร้อยละ 20
การดำเนินโครงการนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว” (Bio-Circular-Green) ของไทย และได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐของไทย ที่เกี่ยวข้องรวมถึงบริษัทเอกชน อย่างเอสซีจี และเอไอเอส
โครงการยังได้รับการบรรจุไว้ในคลังโครงการสาธิตของศูนย์ความร่วมมือ ด้านนวัตกรรมสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเวทีความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีระดับสูง ระหว่าง จีน-ไทย อันเป็นการวางรากฐานที่มั่นคง สำหรับการขยายผลในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม ฐานโลจิสติกส์ หรือแวดวงอื่น ๆ วิสัยทัศน์ความร่วมมือเพื่ออนาคต
เหมืองอัจฉริยะที่สระบุรี ถือเป็นโครงการขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบแห่งแรก ที่เทคโนโลยีเอไอของจีน ได้ก้าวออกสู่เวทีโลกอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน ทั้งยังเปิดทางสู่การขยายตลาดไปต่างประเทศ และไม่ใช่เพียงการส่งออกสินค้า แต่รวมถึงการส่งออกมาตรฐานและเทคโนโลยีแบบบูรณาการด้วย
สำนักงานนวัตกรรมและความร่วมมือ (กรุงเทพ) เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการดำเนินความร่วมมือ ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ระหว่างประเทศ ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ภายใต้กรอบโครงการ โครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2017 ศูนย์แห่งนี้ ได้ส่งเสริมและประสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและธุรกิจระหว่างประเทศ กว่า 70 โครงการ ในไทย สร้างเม็ดเงินลงทุนโดยตรง รวมกว่า 1.8 พันล้านหยวน (ราว 8.1 พันล้านบาท) นอกจากนี้ ยังเป็นตัวกลางในการผลักดันความร่วมมือ ระหว่าง จีนกับไทย ในหลากหลายสาขา อาทิ เทคโนโลยีจุลินทรีย์ ระบบราง และเทคโนโลยีพลาสมา
ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ชั้นนำของประเทศไทย เอไอเอ สมองเห็นศักยภาพมหาศาลในการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นจากโครงการนี้ โดย อัศนี วิปัฒน์วัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของเอไอเอส กล่าวว่า โครงการของเอสซีจี ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เทคโนโลยี 5G ผสานกับเอไอ มีศักยภาพสูงในการประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรม ที่มีความซับซ้อน เราหวังว่า จะใช้โครงการนี้ เป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกับสถาบันฯ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านโลจิสติกส์อัจฉริยะ นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และอื่น ๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมไทยสู่ยุคอัจฉริยะ อย่างเต็มรูปแบบ
ความสำเร็จของระบบปฏิบัติการเหมืองข้างต้น เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจน ว่า เทคโนโลยีเอไอของจีน สามารถก้าวข้ามพรมแดน สร้างคุณค่าหลักให้กับพันธมิตรในด้านความปลอดภัย ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
(เรียบเรียงโดย Xu Yuan with Xinhua Silk Road, https://www.xinhuathai.com/silkroad/527269_20250805 , https://en.imsilkroad.com/p/346889.html)
TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ : ศุกร์ 8 สิงหาคม 2568 17:16:59 เข้าชม : 1689773 ครั้ง