วันที่ 24 ตุลาคม ปีนี้ เป็นวันรำลึกครบรอบ 80 ปี แห่งการบังคับใช้ “กฎบัตรสหประชาชาติ” นักสังเกตการณ์ชี้ให้เห็น ว่า ปัจจุบันสหประชาชาติ กำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ เพื่อสันติภาพ และการพัฒนาของโลก ประชาคม ระหว่างประเทศ จำเป็นต้องร่วมกันพิทักษ์สถานะ และบทบาทของสหประชาชาติ
ในช่วง 80 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหประชาชาติเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลที่ครอบคลุมเป็นสากล เป็นตัวแทน และมีอำนาจมากที่สุดในโลก วัตถุประสงค์และหลักการที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ถือเป็นรากฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็น “กติกา” ที่ใช้ในการปฏิบัติตามหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ ในช่วงที่ผ่านมาประเทศต่างๆ ต่างเคารพและปฏิบัติตาม “กติกา” ดังกล่าว สหประชาชาติจึงมีบทบาทที่มิอาจทดแทนได้ในการรักษาสันติภาพ ส่งเสริมการพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในกรอบของสหประชาชาติ ไม่ว่าประเทศใหญ่หรือเล็ก เข้มแข็ง หรือ อ่อนแอ ต่างก็เป็นสมาชิกที่เท่าเทียมกัน มีสิทธิแสดงความคิดเห็นอย่างเสมอภาค มีโอกาสเข้าร่วมการเจรจากำหนดระเบียบระหว่างประเทศ และสามารถแบ่งปันผลประโยชน์จากการพัฒนาที่ยั่งยืนได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากประเทศส่วนน้อยอย่างสหรัฐอเมริกา มีท่าทีต่อกฎบัตรสหประชาชาติในลักษณะ “ใช้เมื่อได้ประโยชน์ และทิ้ง เมื่อไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน” ส่งผลให้โลกตกอยู่ในภาวะปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายบ่อยครั้ง ปัจจุบัน ลัทธิพหุภาคีกำลังเผชิญกับวิกฤตร้ายแรง การเมืองแบบอำนาจนิยม และพฤติกรรมครอบงำโลก ไม่เพียงแต่เพิ่มความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่รุนแรงขึ้น เท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายการทำงานภายในของกลไกระหว่างประเทศ และท้าทายระเบียบระหว่างประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่สองอย่างรุนแรง ในระดับนานาชาติ เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของสหประชาชาติมากขึ้น โดยอ้างว่าสหประชาชาติ “ไร้ประสิทธิภาพ” กฎหมายระหว่างประเทศ “บกพร่อง” ลัทธิพหุภาคีนิยม “ใช้การไม่ได้” และถึงขั้นกล่าวว่า “สหประชาชนล้มเหลว”
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศส่วนใหญ่ ต่างเรียกร้องให้ร่วมกันพิทักษ์สถานะของสหประชาชาติ และเสริมสร้างบทบาทขององค์กร เพราะโลกที่ไม่มีสหประชาชาติ ย่อมถอยกลับไปสู่ยุค “ผู้ที่แข็งแรงย่ำยีผู้ที่อ่อนแอ” เปรียบเสมือนสี่แยกที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นซ้ำซาก
จีน ในฐานะประเทศใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ได้เสนอแนวคิดสำคัญอย่างต่อเนื่อง ในช่วงไม่กี่ปี ที่ผ่านมา ได้แก่ “ข้อริเริ่มว่าด้วยการพัฒนาโลก” “ข้อริเริ่มว่าด้วยความมั่นคงโลก” “ข้อริเริ่มว่าด้วยอารยธรรมโลก” และ “ข้อริเริ่มว่าด้วยธรรมาภิบาลโลก” จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อ “แทนที่สหประชาชาติ” แต่เพื่อพิทักษ์และปฏิบัติตามหลักการพหุภาคีนิยมอย่างแท้จริง และผลักดันให้เกิดระบบธรรมาภิบาลโลก ที่มีความเป็นธรรม และสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น ข้อริเริ่มทั้งสี่มีรากฐานที่สอดคล้องกับเป้าหมาย และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ และเชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรือง ด้วยการพัฒนา เสริมความมั่นคงด้วยสันติภาพ สร้างความไว้วางใจกันด้วยอารยธรรม และแสวงหาความยุติธรรมด้วยธรรมาภิบาล
โดยเฉพาะ “ข้อริเริ่มว่าด้วยธรรมาภิบาลโลก” ซึ่งตอบโจทย์ปัญหา เชิงโครงสร้างของระบบธรรมาภิบาลโลก และมุ่งแก้ไขความไม่สมดุลเชิงลึก มีความหมายทางประวัติศาสตร์ในแง่ของการสืบสาน และพัฒนาเจตนารมณ์ของกฎบัตรสหประชาชาติ รักษาระบบ และระเบียบระหว่างประเทศ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมนำเสนอ “แนวทางของจีน” เพื่อการปฏิรูประบบธรรมาภิบาลโลก ขณะเดียวกัน ยังสะท้อนความปรารถนาของประเทศ กำลังพัฒนาในการแสวงหาความยุติธรรม และความเสมอภาคในระดับโลก ผลักดันให้ระเบียบระหว่างประเทศก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย และครอบคลุมมากขึ้น และส่งเสริมสันติภาพกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก
จีน กำลังพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม อย่างแท้จริง ว่า ไม่ว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จีน จะยืนหยัดพิทักษ์ระบบระหว่างประเทศ ที่มีสหประชาชาติเป็นแกนกลาง ระเบียบระหว่างประเทศ ที่มีกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นพื้นฐาน และหลักปฏิบัติพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ถือเป้าหมาย และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติเป็นรากฐาน จีน จะร่วมมือกับทุกประเทศ เพื่อส่งเสริมโลกหลายขั้ว ที่เท่าเทียมและเป็นระเบียบ รวมทั้งโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง และครอบคลุม เพื่อบรรลุเป้าหมายการร่วมกันสร้าง “ประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ”
เขียนโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)
TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ : อังคาร 4 พฤศจิกายน 2568 11:56:59 เข้าชม : 1687995 ครั้ง

				
				
				
				
				


















