ปักกิ่ง, 17 ธ.ค. (ซินหัว) — จีนยึดหลักการ “สีเขียว คือ ทองคำ” (Green is Gold) จึงมุ่งผลักดันเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสูงสุด และความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านการประสานการดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอน ลดมลพิษ เพิ่มขีดความสามารถสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา จีน จัดการประชุมระดมความพร้อมที่กรุงปักกิ่ง ก่อนเริ่มต้นการตรวจสอบระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมรอบระดับชาติรอบใหม่ ภายหลังการประชุม ได้มีการส่งคณะผู้ตรวจสอบ 10 ชุดไปยังภูมิภาคต่างๆ อาทิ ปักกิ่ง เทียนจิน และเหอเป่ย ตลอดจนส่งไปตรวจสอบรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ทั้งห้าแห่ง นอกจากนี้ ยังมีภารกิจเพิ่มเติมเพื่อสำรวจการคุ้มครองระบบนิเวศตามแนวคลองใหญ่ (Grand Canal) ซึ่งทอดยาวผ่านแปดมณฑลตั้งแต่ปักกิ่งจนถึงเจ้อเจียง
มาตรการดังกล่าว สะท้อนความพยายามอย่างกว้างขวางของจีนในการสร้างสภาพแวดล้อมทางนิเวศที่ดีขึ้น โดยข้อเสนอแนะสำหรับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 (2026-2030) ซึ่งได้รับการรับรองเมื่อเดือนตุลาคม เน้นย้ำว่า “การพัฒนาสีเขียวเป็นคุณลักษณะสำคัญที่กำหนดความทันสมัยของจีน” ภายใต้ความเชื่อที่ว่า “สีเขียวคือทองคำ” โดยจีนมุ่งขับเคลื่อนเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสูงสุดและความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านมาตรการประสานการดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอน ลดมลพิษ เพิ่มขีดความสามารถสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสี่หัวข้อสำคัญที่เป็นแกนกลางของการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้
กรอบนโยบายที่เน้นคาร์บอนเป็นศูนย์กลางจะแนะนำการควบคุมแบบควบคู่ ทั้งในด้านปริมาณการปล่อยคาร์บอนรวมและความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอน เพื่อการกำกับดูแลคาร์บอนที่แม่นยำยิ่งขึ้น แผนดังกล่าวยังรวมถึงกลไกต่างๆ เช่น การประเมินประสิทธิภาพคาร์บอนของรัฐบาลท้องถิ่น การบริหารจัดการคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ตลอดจนการติดตามคาร์บอนฟุตปรินต์ในระดับผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างระบบแรงจูงใจและข้อกำกับที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
จีนจะพัฒนาระบบพลังงานสีเขียวและคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการไฟฟ้าใหม่ส่วนใหญ่ด้วยพลังงานสะอาดภายในสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 (2026-2030) โดยจะขยายสัดส่วนพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล และทำให้พลังงานฟอสซิลสะอาดขึ้นด้วยการปรับบทบาทของโรงไฟฟ้าถ่านหินให้เป็นเพียงกำลังผลิตเสริม และยกระดับระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งจ่าย และระบบการใช้ไฟฟ้าปลายทาง เพื่อสร้างเครือข่ายพลังงานสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง
จีนจะผลักดันโครงสร้างอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เสริมสร้างแรงขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียวรูปแบบใหม่ ควบคู่กับการลดการผลิตที่ล้าสมัยและก่อมลพิษสูง จีนจะขยายห่วงโซ่อุตสาหกรรมสีเขียว และมีแผนจัดตั้งสวนอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ประมาณ 100 แห่ง คาดว่าโครงการเฉพาะด้านในอุตสาหกรรมเหล็ก โลหะนอกกลุ่มเหล็ก และปิโตรเคมี จะช่วยประหยัดพลังงานเทียบเท่าถ่านหินมาตรฐานได้กว่า 150 ล้านตัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 400 ล้านตัน
การส่งเสริมการผลิตและวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ภายในปี 2030 คาดว่าปริมาณการนำขยะมูลฝอยชุมชนกลับมาใช้จะเพิ่มขึ้นเป็นราว 4.5 พันล้านตันต่อปี ขณะที่การยกระดับประสิทธิภาพด้านพลังงานของอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับเทศบาลจะเพิ่มมากขึ้น การขนส่งทางรางและทางน้ำจะรองรับการขนส่งสินค้าเทกองในสัดส่วนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ โครงการรณรงค์สาธารณะจะกระตุ้นให้ประชาชนบริโภคสินค้าและบริการที่มีคาร์บอนต่ำ ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด คัดแยกขยะ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งสี่ประเด็นสำคัญนี้เป็นแรงสนับสนุนต่อเป้าหมายระยะยาวของจีนในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวและสภาพแวดล้อมที่สะอาดขึ้น โดยมุ่งให้สุขภาวะทางนิเวศและการพัฒนาเศรษฐกิจส่งเสริมกันและกัน วิสัยทัศน์ “จีนที่สวยงาม” ภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใส ภูเขาเขียวชอุ่ม และสายน้ำสะอาด กำลังกลายเป็นความจริงอย่างช้าๆ
(ที่มา: https://www.xinhuathai.com/silkroad/548213_20251217 , https://en.imsilkroad.com/p/348716.html)
ภาพประกอบข่าว
(แฟ้มภาพซินหัว : โครงการควบคุมน้ำเจียงตู ในเมืองหยางโจว มณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีน วันที่ 25 มี.ค. 2025)
(แฟ้มภาพซินหัว : โครงการบูรณาการพลังงานแสงอาทิตย์ความร้อนและเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 1 กิกะวัตต์ ในอำเภอซ่านซ่าน เมืองถู่หลู่ฟาน เขตปกครองตนเองซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน วันที่ 28 ก.ค. 2025)
(แฟ้มภาพซินหัว : อาคารปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์แห่งแรกของโลก เป็นสำนักงานใหญ่ของทีอีแอลดี นิว เอ็นเนอร์จี (TELD New Energy) ผู้ดำเนินงานเครือข่ายเสาชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าของจีน ในเมืองชิงเต่า มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน วันที่ 25 ส.ค. 2025)
TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ พุธ 17 ธันวาคม 2568 16:24:59 เข้าชม : 1679352 ครั้ง
