Home ข่าวเด่น ดิจิทัล บทวิเคราะห์ เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนเวอร์ชัน 3.0 ถือเป็นก้าวใหม่ในความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างกัน

บทวิเคราะห์ เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนเวอร์ชัน 3.0 ถือเป็นก้าวใหม่ในความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างกัน

4 second read
0
0
82

วันที่ 28 ตุลาคม ปีนี้ จีนและอาเซียน ได้ลงนามในพิธีสารว่าด้วยการยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนเวอร์ชัน 3.0 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (ต่อไปจะเรียกว่า “พิธีสารเวอร์ชัน 3.0”) โดยเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันสร้างตลาดขนาดใหญ่ระดับภูมิภาคที่เปิดกว้าง ครอบคลุม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎกติกา ครอบคลุม 9 สาขาหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน การแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นประเด็นสำคัญในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ในปัจจุบัน

ผู้เชี่ยวชาญชี้ ว่า “พิธีสารเวอร์ชัน 3.0” เป็นสัญลักษณ์แห่งการบรรลุการก้าวกระโดดทางประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างจีนกับอาเซียน จากการมุ่งเน้น “เคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต” ไปสู่การ “กำหนดกฏกติกา” การยกระดับครั้งนี้ไม่เพียงเป็นหมุดหมายสำคัญของการบูรณาการเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเท่านั้น หากยังช่วยเติมพลังความมั่นคงให้กับความร่วมมือใต้-ใต้หรือความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และการสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้าง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในปัจจุบัน

หัวใจสำคัญของความก้าวหน้าในพิธีสารเวอร์ชัน 3.0 อยู่ที่การเผชิญกับโจทย์ใหญ่สองประการอันได้แก่ ยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว พร้อมผลักดันความร่วมมือให้ก้าวสู่มาตรฐานที่สูงขึ้น พิธีสารได้นำสาขาใหม่อย่างเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวเข้าสู่กรอบความร่วมมือหลัก ทำให้เกิดการยกระดับคุณภาพจากการค้าสินค้าแบบดั้งเดิมไปสู่การประสานกติกาและมาตรฐานให้เข้ากันอย่างเป็นระบบ

ทุกวันนี้ เราจะเห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวัน เช่น นักท่องเที่ยวจีนที่อยู่บนท้องถนนในประเทศไทยสามารถจ่ายเงินโดยใช้วีแชตสแกนคิวอาร์โค๊ตที่เชื่อมต่อกับพร้อมเพย์ หรือทุเรียนจากมาเลเซียสามารถเข้าสู่ตลาดจีน ได้อย่างรวดเร็วด้วยใบรับรองการตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์ เบื้องหลังความสะดวกสบายเหล่านี้คือ การ “การเปิดกว้างเชิงระบบ” อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่า จะเป็นการเชื่อมโยงระบบการชำระเงิน และการยอมรับมาตรฐานซึ่งกันและกัน ดังที่เลขาธิการอาเซียนเคยกล่าวไว้ว่า การเชื่อมโยงตลาดที่มีประชากรรวมกันเกือบ 2,100 ล้านคน จะก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจที่เป็นทวีคูณ และเปิดพื้นที่กว้างขวางให้กับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ปัญญาประดิษฐ์และการแพทย์อัจฉริยะ

ขณะเดียวกัน พิธีสารยังมุ่งเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค ให้มีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเป้าหมายไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลดภาษีศุลกากรเท่านั้น แต่ยังมุ่งยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมจาก “การค้าแบบจุดต่อจุด” ไปสู่ “ห่วงโซ่คุณค่าระดับภูมิภาค” ที่บูรณาการอย่างลึกซึ้ง การเชื่อมต่อเชิงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางรถไฟจีน–ลาว และด่านศุลกากรอัจฉริยะ ซึ่งถือเป็น “การเชื่อมโยงเชิงกายภาพ” เมื่อผสานเข้ากับ “การบูรณาการเชิงนโยบายและกติกา” อย่างการผลิตรถยนต์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น และการกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีร่วมกัน ทำให้ปัจจัยการผลิตภายในภูมิภาคสามารถจัดสรรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงตอกย้ำสถานะของอาเซียนในฐานะศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญเท่านั้น หากยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของเศรษฐกิจภูมิภาค ในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันจากลัทธิกีดกันทางการค้า อีกด้วย

สิ่งที่น่าชื่นชมเป็นพิเศษ คือ ลักษณะความครอบคลุม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังของเขตการค้าเสรีเวอร์ชัน 3.0 พิธีสารได้กำหนดบทเฉพาะสำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย โดยสนับสนุนผ่านการแบ่งปันข้อมูล การสนับสนุนด้านเงินทุน และความช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ทำให้สินค้าเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เช่น กระวานจากพื้นที่ภูเขาในเมียนมา หรือไอศกรีมทุเรียนจากมาเลเซีย ฯลฯ สามารถเข้าสู่ตลาดจีนที่กว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างราบรื่น ผ่านระบบการตรวจสอบย้อนกลับและการยอมรับร่วมกันในการตรวจสอบกักกันโรคเพื่อสุขอนามัยที่ดี ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงตรรกะของ “การเสริมสร้างความยืดหยุ่นท่ามกลางการเปิดกว้าง” และช่วยให้ผลประโยชน์จากการบูรณาการทางเศรษฐกิจกระจายไปสู่ผู้ประกอบการ และประชาชนในวงกว้างยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเป็นตัวอย่างการปฏิบัติที่สำคัญ สำหรับประเทศกำลังพัฒนาในการบรรลุการเติบโตอย่างครอบคลุม

ในอนาคต เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนเวอร์ชัน 3.0 จะประสานการทำงานกับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ก่อให้เกิดพลังเสริมซึ่งกันและกัน นำมาซึ่งการขับเคลื่อนแบบ “สองด้าน” ทั้งการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเชื่อมโยงกติกาที่ยืดหยุ่น นี่ไม่ใช่เพียงการยกระดับความตกลงทางการค้าเท่านั้น หากยังเป็นคำมั่นสัญญาที่จริงจัง ระหว่าง จีนและอาเซียน ที่จะยึดการพัฒนาเป็นเป้าหมาย กติกาเป็นรากฐาน และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็นเสาหลัก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง เชิงโครงสร้างของระเบียบโลก ก้าวสำคัญสู่การเปิดกว้างเชิงระบบครั้งนี้ ได้วางรากฐานที่มั่นคงให้กับการสร้างประชาคมเศรษฐกิจภูมิภาค ที่มีความสมดุล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยอิทธิพลเชิงลึกของความร่วมมือนี้ จะยิ่งปรากฏชัดและขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามกาลเวลา อย่างแน่นอน

TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ จันทร์ 29 ธันวาคม 2568 14:12:59 เข้าชม : 1687911 ครั้ง

Load More Related Articles
Load More By admin
Load More In ข่าวเด่น ดิจิทัล
Comments are closed.

Check Also

นายก อบจ.ภูเก็ต นำทีม ลงพื้นที่แจกปฏิทิน ปี 2569 สวัสดีปีใหม่ประชาชน ชาวกะทู้

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 เวลา 07.00 น. นายเรวัต อารี … …