Home ที่ปรึกษากฎหมาย โดย ทนาย สุนทร พยัคฆ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ชวน องค์กรทั่วโลก ดูแลความปลอดภัยและสุขภาพในที่ทำงาน  ด้วยการพลิกโฉมการฝึกอบรม-สนับสนุนพนักงาน เนื่องในวันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล

อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ชวน องค์กรทั่วโลก ดูแลความปลอดภัยและสุขภาพในที่ทำงาน  ด้วยการพลิกโฉมการฝึกอบรม-สนับสนุนพนักงาน เนื่องในวันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล

12 second read
0
0
153

1  พ.ค. 2568 –บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส (International SOS) ผู้นำระดับโลกด้านบริการสุขภาพ และความมั่นคงปลอดภัย เรียกร้องให้องค์กรทั่วโลกแสดงความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน เนื่องในวันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล (World Day for Safety and Health at Work) เพราะการล้มป่วย และบาดเจ็บจากการทำงานยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล ในระดับสากล ขณะที่ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยทุก ๆ ปีมีพนักงานราว 2.93 ล้านคน เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน (89%) รวมทั้งจากอุบัติเหตุ และการบาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน (11%)[1]

อัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการทำงานมากกว่า 75% มีสาเหตุมาจากโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต เนื้องอก และโรคระบบทางเดินหายใจ1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานและการสัมผัสมลพิษถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงาน1 ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการบังคับใช้มาตรการด้านสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงานอย่างเคร่งครัด

ข้อมูลจากอินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ชี้ ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจ โดยในปี 2567 มีการยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องกับโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า[2]

ข้อมูลจากรายงานฉบับใหม่ล่าสุดของมูลนิธิ อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส (International SOS Foundation) ชี้ว่า ถึงแม้ว่า พนักงานและองค์กร ต่างมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายในที่ทำงาน แต่พนักงานทั่วโลกส่วนใหญ่ กลับไม่เคยได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย (62%)[3] อย่างไรก็ดี แม้ว่า จะมีหลายภาคส่วนที่จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง แต่องค์กรจำนวนมาก ก็แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการส่งเสริมสุขภาพจิตของพนักงาน องค์กร มากกว่า 70% ได้รวมมาตรการส่งเสริมสุขภาพจิตไว้ในนโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัยในสถานที่ทำงานแล้ว

ดร. โอลิวิเยร์ โล (DrOlivier LO) ผู้อำนวยการ ด้านการแพทย์ ฝ่ายบริการอาชีวอนามัย บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส กล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ อันตรายที่เกิดขึ้นในที่ทำงานซึ่งเกี่ยวข้องกับร่างกาย และจิตใจของพนักงานนั้น มักมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดด้านการกำกับดูแลองค์กรและการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ หน้าที่ในการดูแลพนักงานเป็นเรื่องที่ไม่สามารถต่อรองได้ การละเลยเรื่องเหล่านี้อาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงทั้งต่อบุคลากรและเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่การรับมือกับปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องใช้วิธีการแบบองค์รวมที่มีแบบแผน โดยคำนึงว่าสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานทั่วโลกเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกันและไม่สามารถแยกจากกรอบการดำเนินงานในภาพรวมขององค์กรได้ นอกจากนี้ การบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลอย่างรวดเร็วในที่ทำงาน ยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำว่าเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน และอาจจะทำให้เกิดอันตรายในรูปแบบใหม่ได้

แนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพ และความปลอดภัยที่ปลูกฝังภายในองค์กร ซึ่งครอบคลุมถึงการให้ความรู้ และการฝึกอบรม ถือว่า มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการบรรเทาความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเท่านั้น แต่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการเฝ้าระวังเชิงรุกและป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากบุคลากร เมื่อสุขภาพ และความปลอดภัยถูกหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร แล้ว ทั้งพนักงานและผู้บริหาร จะมีความพร้อมมากขึ้นในการบ่งชี้ และรับมือกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อปกป้องพนักงาน และสร้างความมั่นใจในเรื่องการดำเนินธุรกิจ อย่างยั่งยืน”

อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส ได้นำเสนอวิธีการดูแลที่ทำงานให้อยู่ในสภาพที่ดีต่อสุขภาพ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนี้ 

  1. ประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ และความปลอดภัยอย่างละเอียด ด้วยการบ่งชี้ และประเมินอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในที่ทำงาน ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ การยศาสตร์ และจิตสังคม
  2. ส่งเสริมวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพ และสุขภาวะในที่ทำงานด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้ความสำคัญ และส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงาน ซึ่งรวมถึงการเปิดโอกาสให้พนักงานเข้ารับบริการด้านสุขภาพ เข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมสุขภาวะ และเข้ารับการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต
  3. จัดให้มีการฝึกอบรมอย่างครอบคลุม เพื่อเสริมสร้างความรู้ และทักษะที่จำเป็นให้แก่พนักงานในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย โดยครอบคลุมถึงการบ่งชี้อันตราย แนวปฏิบัติในการทำงานอย่างปลอดภัย ตลอดจนมาตรการรับมือในกรณีฉุกเฉิน
  4. พัฒนาแผนการจัดการภาวะวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่า จะเป็นอุบัติเหตุในสถานที่ทำงาน ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด โดยมี เป้าหมายเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของพนักงานให้เหลือน้อยที่สุด
  5. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพจิต ด้วยโปรแกรมสนับสนุนสุขภาวะทางจิตของพนักงาน รวมถึงลดการตีตราทางสังคม และเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต
  6. บรรเทาความเสี่ยงจากชั่วโมงการทำงาน ที่มากจนเกินไปด้วยการกำหนดนโยบาย และแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทำงานล่วงเวลามากเกินไป โดยครอบคลุมถึงการวางกลยุทธ์ ในการบริหารปริมาณงาน และการดูแลให้พนักงานมีวันลาหยุด ตามความเหมาะสม
  7. ทบทวน และปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ โดยตรวจสอบ และประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ และความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งดำเนินการปรับปรุงตามความจำเป็น เพื่อสร้างความมั่นใจ ว่า โปรแกรมดังกล่าว ได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ

TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ :  ศุกร์ 2 พฤษภาคม  2568  09:00:00 เข้าชม : 1579447  ครั้ง

Load More Related Articles
Load More By admin
Load More In ที่ปรึกษากฎหมาย โดย ทนาย สุนทร พยัคฆ์
Comments are closed.

Check Also

Phuket Roadshow to Australia 2025 Sydney station

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตร … …